Welcome to my little worlD

\(~o~) LooK ArounD & EnjoY (^_^)/

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2552

บ่นๆ

ได้หยุดยาว-แบบไม่ได้ตั้งใจ-นอนเกลือกกลิ้งอยู่บ้าน
เกือบลืมไปเลยว่า-ทำงาน-มันเป็นยังไง
--อ๊ากส์--
งานบาน ไม่เสร็จซักกะอัน ง๊า

วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2552

ลันตาลานตา

กลับมาแล้วววว
ทั้งสนุก ทั้งเหนื่อย นั่งรถกันมาราธอนมาก ปวดก้นกบไปหมด
พักไปสามวันยังไม่หายเมื่อยเลย 555 เว่อร์เกิ๊น
มาเล่าสู่กันฟังก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะนอกเรื่องไปกันใหญ่
+++++++++
เริ่มจากวันออกเดินทางวันที่ 3 เกิดอาการจิตตก กลัวรถติด
ออกจากออฟฟิศตั้งกะ บ่าย 2 หุหุ พอดีมีรถไปสายใต้เลยติดรถกันไป ฟรีจ้า อิอิ
ไปถึงตั้งกะ บ่าย 3 ยังไม่ครึ่งดี ทำไงล่ะทีนี้ รถออก ทุ่ม 5 นาที
ซวยล่ะ เลยต้องไปเดินเรื่อยเปื่อยในเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า
พอได้ที่ เริ่มเมื่อยเพราะแบกของหนัก เลยกะจะไปนอนรอที่สายใต้ใหม่กว่าท่าจะดี
ว่าแล้วก็จับแท็กซี่ (ภาษาแก๊แก่ "จับ" 555) ไปกันโลด
ไปถึงก็หาข้าวเย็นกิน แล้วก็รอเวลานัดพบกะหัวหน้าทริป
เมื่อได้เวลาอันควร พี่ๆ ก็มาถึง ได้เวลาไปขึ้นรถ VIP ของเราแล้ว
แต่กว่ารถออกก็ปาเข้าไป ทุ่ม 40 รถออกปุ๊ป แจกขนมปั๊ป
แล้วก็นอนดูองค์บาก2 ไม่ได้ไปเที่ยวไม่ได้ดูนะเนี่ย 55
และแล้วก็ถึงเวลากินมื้อดึก แวะที่ปราณฯ กินข้าวต้ม
กินกันเสร็จก็ ล้างหน้าแปรงฟัน เตรียมตัวนอนยาววววว
+++++++++
เช้าซะแล้ว 8 โมงกว่า ถึงบขส.ตรัง ลงรถไปล้างหน้า แปรงฟัน
ต่อตุ๊กตุ๊กหัวกบไปหน้าสถานีรถไฟ รอขึ้นรถตู้ไปเกาะลันตา
คงงงกันล่ะซิ ว่าทำไมมันต้องอ้อมโลกขนาดนั้น
แหะแหะ ก็ตั๋วไปกระบี่มันหมดอ่ะคับพี่น้อง
กว่าจะได้ตั๋วไป-กลับ ทริปนี้ ท่านหัวหน้าฯ เลือดตาแทบกระเด็น
เอ้า ดูรูปประกอบได้จ้า
และแล้วหลังจากไปถึงหน้าสถานีรถไฟ
กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง หาข้าวเช้ากินกันไปตามระเบียบ
หลังจากเดินวนรอบตลาด 1 รอบ ก็มาเจอร้านก๋วยเตี๋ยวหมู หน้าตาน่ากิน
เลยโซ้ยไปซะ ของเราเป็นหมี่ซั่วหมู อร่อยมาก แต่จำชื่อร้านไม่ได้อ่ะ
ว่าจะถ่ายป้ายชื่อร้านมาก็ลืม อุอุ
พอได้เวลา 9 โมงครึ่ง รถตู้ก็มาจอดเทียบทันที แต่ว่าขึ้นไม่ทันเพื่อน
โดนนั่งหลังสุดเลย นั่งเมาควันรถกันไปเพราะประตูท้ายปิดไม่สนิทของมันเยอะ
ก็นั่งโยกกันมึนไปเลยกว่าจะถึง นั่งรถขึ้นแพ 2 รอบ
จากฝั่งไปลันตาน้อย จากลันตาน้อยไปลันตาใหญ่
กว่าจะถึงรีสอร์ท บ่ายโมงพอดี เข้าห้องอาบน้ำอาบท่า
รีบออกมากินข้าวเที่ยงกันเลย หิวมากๆ
กินกันที่ร้านอาหารของรีสอร์ท ชื่อร้าน "Orchid Restaurant"
ราคาก็รีดเลือดกับตู (ไม่ได้พิมพ์ผิดนะ ตั้งใจอ่ะ) ตามระเบียบ
กินเสร็จก็ออกไปเติมคาเฟอีนตรงทางเข้ารีสอร์ท (แหะ พี่เอ๋แอบเล็งไว้แล้ว)
เป็นร้านของ รวิวาริน รีสอร์ท หลุยส์ข้างๆ หุหุ อาหร่อย
ชื่อร้าน "Auntie Mae's" เบเกอรี่น่ากินอย่างรุนแรง ราคาก็แสนแพงตามหน้าตา
หลังจากกินกันอิ่มหนำแล้ว ก็มาเดินสำรวจบริเวณรอบๆ รีสอร์ทกันได้แล้ว
ฝนเพิ่งจะหยุดไปไม่นาน บรรยากาศเลยหม่นๆ นิดหน่อย
-- ดูรูปกันเลยจ้า --
พื้นที่ของรีสอร์ทหลุยส์ข้างๆ "รวิ วาริน" เค้าทำเป็นสระว่ายน้ำในทะเล "OCEAN POOL" จ้า
แสงสุดท้ายของวัน
พระอาทิตย์กำลังจะตก ฟ้าเป็นสีชมพูไปหมดเลย สวยมากๆ
และแล้วก็ได้เวลากินข้าวเย็น มื้อนี้ เข้าสู่อาหารตามแพ็กเกจแล้ว
เยส ไม่ต้องจ่ายตังแล้วจ้า กับข้าวมื้อนี้ไม่ปลื้มเท่าไหร่ เลยไม่เอารูปมาโชว์
พอกินเสร็จก็มีการแสดงควงไฟ สวยดี มี 2 คน แต่น้องผู้หญิงเค้าพลาดอ่ะ
โดนหน้าตัวเองไปหนนึง ท่าทางจะเจ็บน่าดู จบวัน นอนเอาแรงจ๊ะ
กะจะดู the star ซะหน่อย อุตส่าห์ให้เขามาจูนทีวีให้ใหม่ ดั๊นหลับคาทีวีกันซะ อดเลย
+++++++++
เริ่มวันที่ 2 จ้า เช้านี้ตื่นมากินข้าวตามแพ็กเกจ มีทัวร์อาจารย์มาลง คนเยอะมาก
แทบจะแย่งกันกินเลยอ่ะ พอกินเสร็จก็เตรียมตัวรอรถมารับไปทัวร์ดำน้ำ 4 เกาะ
เกาะแรกที่ได้ดำคือ "เกาะเชือก" จ้า เท่าที่เห็น (อาจจะเห็นไม่ทั่วนะ)
มีแต่ปะการังเขากวาง แต่ปลาสลิดหินเชื่องมาก ไม่กลัวคนเลย
สมกับเป็นปลาในแหล่งท่องเที่ยวจริงๆ ล้อมหน้าล้อมหลังกันไปเลย
--ขอขอบคุณ "น้องอ๋อม" ผู้มีอุปการะคุณที่ให้ยืมกล้อง Olympus กันน้ำไปนะจ๊ะ--
--จุดที่ 2 ของวันนี้ "ถ้ำมรกต" จ้า--
คนเยอะมากกกกก ถ่ายรูปมามีแต่หัวคน เหอเหอ หลบไม่พ้นจริงๆ
ท่องเที่ยวหน้าเทศกาล ก็ต้องทำใจ นะจ๊ะ
--เอ๊า ดูรูปกันไป--
--จุดที่ 3 "เกาะกระดาน" ค่า--
ที่เกาะนี้ เค้าให้พักกินข้าวเที่ยงกัน คนเยอะตามระเบียบ
ทริปนี้ ถ่ายรูปไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ เพราะขี้เกียจหามุมงามๆ 555
หลบคนไม่พ้นอ่ะ เลยไม่ถ่ายดีก่า
--มาถึงจุดดำน้ำจุดที่ 4 จุดสุดท้ายของทัวร์นี้ "เกาะไหง" มั้ง--
ขออภัย ฟังพี่ไกด์ไม่ได้ยินจริงๆ แว่วๆ ว่า ด้านหลังเกาะไหง หรือไงเนี่ยแหละ
ขออภัยหากข้อมูลผิดพลาดนะคับ
ปลาค่อนข้างเยอะเหมือนกัน แต่ถ่ายรูปมามัน "เขียว" ไปหมดเลยอ่ะ --แง๊--
ปะการังน้ำ"ตื้น-มาก" กลัวจะไปเหยียบจะแย่ แถมมีหาดหลบมุมให้ถ่ายรูปด้วย จัดไป
จบทริป นั่งเรือกลับเกาะลันตาใหญ่ ผ่านประภาคารตรงท้ายเกาะ
เลยแชะกันซะหลายรูป อดไปทางบก ต้องชดเชยเอาทางนี้แหละ อิอิ
ขึ้นฝั่งแล้ว หลังจากเจอฝนไปหนึ่งหอบตอนก่อนถึงท่าเรือ
พอมานั่งรถกลับก็เจอเมฆตั้งท่ามาอีกระลอก มากับฝนจริงๆ
ถึงรีสอร์ทอาบน้ำพักผ่อนรอเวลากินข้าวเย็น
วันนี้กับข้าวอร่อยดี แต่ไม่ได้เอามาลง อิอิ
กะจะดู the star ก็หลับคาจอ อีกแล้วครับท่าน เหอเหอ
+++++++++
--วันนี้จะกลับแล้วจ้า--
เช้ามากินข้าวเช้า เดินออกไปกินกาแฟทิ้งทวน แล้วก็กลับมาว่ายน้ำกัน
เล่นน้ำเสร็จก็เก็บกระเป๋า พอเที่ยงก็ออกไปกินข้าว ตอนนี้หมดแพ็กเกจแล้วอ่ะ
เลยออกไปกินร้านป้าตรงปากซอยทางเข้า
แล้วก็รอรถตู้มารับ กว่าจะออกจากเกาะได้ บ่าย 2 ขึ้นรถตั้งแต่บ่ายโมง
วนรับคนจนเต็มคันค่อยออก ลุงแกเลย drift ซะ ฝรั่งหัวใจจะวาย นั่งด่าตลอดทาง 555
ปิดท้ายทริปนี้กันด้วยภาพชายหาดคลองนิน นะจ๊ะ
**ปิดทริปจ้า**
ทริปหน้าคาดว่าจะเป็นเกาะเต่า เกาะนางยวน นะ หุหุ

ลืม!!

ก่อนจะอัพเรื่องไปเที่ยว ลืมเลยว่าเราไปช็อปที่งานหนังสือมา แฮ่ๆ
หนังสือคุณนิ้วฯ ออกมาตั้ง 2 เล่มไม่ซื้อได้ไงกันเนอะ
งานนี้ได้มา 3 เล่ม ไม่มากไม่น้อย กำลังดี
พอดีกับเงินในกระเป๋า อุอุ
เล่มแรก ของคุณพี่ชาติ ภิรมย์กุล "ชมวัด ชิมกาแฟ"
อ่านสนุก เหมาะสำหรับคอกาแฟที่ชอบเข้าวัดจ้า
เล่มต่อมา "ปอกกล้วยในมหาสมุทร"
รวมคำถามคำตอบจากบล็อกของคุณนิ้วฯ เค้าจ้าส่วนเล่มนี้ "ระยะทางอันห่างใกล้" เป็นประมาณ Rosso & Blue ผลัดกันเขียนของนักเขียน หญิง-ชาย
แนวใหม่ ลองซะหน่อย
หมดแล้ว รออีกอึดใจ จะอัพเรื่องไปลั้ลลาแล้วนะจ๊ะ
รอหน่อยน้า

วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2552

ลันตา..ลั้ลลา

หุหุ
เอามาเรียกน้ำย่อย เดินทางวันนี้แล้ว
อาทิตย์หน้าจะกลับมาสาธยายความสนุกนะจ๊ะ

วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2552

April Truth's Day

วันที่ 1 เมษายน เรามาเปลี่ยนจาก April Fool's Day
ให้เป็น April Truth's Day กันเถอะ
เนื่องจากได้ตามอ่านผลงานบนบล็อกของคุณพี่ก้อง ทรงกลด มาระยะหนึ่ง
เห็นว่ามีโครงการดีๆ เยอะมาก นี่เป็นหนึ่งในโครงการนั้นนะจ๊ะ
จริงๆ แล้วอ่านหลายๆ บทความน่านำมาลงมาก
แต่เนื้อที่น้อยๆ ของเราคงไม่พอ ไปตามอ่านกันได้ในบล็อกพี่ก้องนะจ๊ะ


บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ April Truth’s Day ครับ แคมเปญที่ผู้คนมากมายพร้อมใจกันพูดความจริงเรื่องโลกร้อน ในวันที่คนส่วนใหญ่พูดเรื่องลวงกันนอกจากบทความชิ้นนี้แล้ว ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ถูกเขียนอยู่ในเว็บไซต์กว่าร้อยแห่งและกิจกรรมอีกมากมาย
หนึ่งบอกหนึ่งเป็นสอง
เรื่องและภาพ > ทรงกลด บางยี่ขัน

1.
“เรากำลังโกหกโลกกันอยู่”
อาจารย์ยงยุทธ จรรยารักษ์บอกผมอย่างนั้น เมื่อผมเล่าว่าหลังจากทริปไม้-เมือง-ร้อน ผ่านพ้นไป ผู้คนที่ร่วมเดินทางด้วยกันในครั้งนี้จะลงมือทำอะไรบางอย่างเพื่อบอกเล่าความจริงเกี่ยวกับเรื่องโลกร้อนให้โลกรู้ในวัน April Fool’s Day หรือ ‘วันแห่งการโกหก’
เราไม่ได้เล่าความเท็จเรื่องโลกร้อนแค่ในวันที่ 1 เมษายน แต่เรากำลังเล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวัน
เรื่องนี้น่าจะสนุกขึ้น ถ้าเราย้ายไปยืนคุยกันข้างนาเกลือ สถานที่แสนธรรมดาที่ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับทางออกของปัญหาโลกร้อน
“โลกร้อนเพราะคนใจร้อน” อาจารย์ยงยุทธพูดถึงต้นตอของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างที่ตำราเล่มไหนก็ไม่เคยเขียนถึง “พอคนใจร้อน เราก็มีเทคโนโลยี เครื่องอำนวยความสะดวกเยอะขึ้น เราอำนวยความสะดวกกันจนเกินความพอดีของธรรมชาติ”
สิ่งที่ไม่ได้อยู่ในตำรา ไม่ได้แปลว่า ไม่น่าเก็บไปคิด
“โลกที่เราอยู่ทุกวันนี้เป็นมายาหมดเลย เพราะเราชอบเอาความรู้จากตำรา ไม่เอาความรู้ที่แท้จริงในตัวคน ทำไมความรู้ในตัวคนถึงเป็นความรู้จริง เพราะเวลาเขียนตำรา เขาเขียนจากสิ่งแวดล้อมที่ไหนก็ไม่รู้ วัฒนธรรมแบบไหนก็ไม่รู้ ปัจจัยมันแตกต่างกันหมดเลย แล้วก็ไปบังคับให้ทุกคนใช้เหมือนกัน ฝรั่งเขาเน้นตำรา แต่วิถีไทยของเราเน้นความรู้ในตัวคน เรามีตำราน้อยมาก แต่มีภูมิปัญญาเยอะ” อาจารย์ยงยุทธย้ำอย่างที่เคยพร่ำบอกมาตลอดอีกครั้งว่า “ผมอยากให้ทุกคนมีปัญญา ไม่ใช่ความรู้”
ทุกชีวิตบนโลกใบนี้ขาดเกลือไม่ได้ ครั้งหนึ่งเกลือจึงถูกยกย่องว่ามีค่าประหนึ่งทองคำ จนเกิดประโยคที่ว่า White is new gold. จากนั้นไม่นาน ในยุคอุตสาหกรรมที่น้ำมันทำหน้าที่เป็นเลือดของโลก ก็มีคนพูดกันว่า Black is new gold. พอเราเผาน้ำมันกันจนเริ่มคิดได้ เราก็เปลี่ยนใจมาบอกว่า Green is new gold. สิ่งแวดล้อมต่างหากที่มีค่าเหนือสิ่งอื่นใด
การทำงานของนาเกลือนั้น ไม่มีอะไรซับซ้อน พอน้ำขึ้น น้ำทะเลก็ไหลเข้ามาสู่แปลงที่เตรียมไว้ด้วยแรงวิดของกังหันลม แล้วแดดก็ช่วยแยกตะกอน ทำให้น้ำทะเลตกผลึกกลายเป็นเกลือ มองเผินๆ การทำเกลือนั้นไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่เมื่อมองดีๆ จะพบว่ามันเป็นการผลิตที่แสนจะสะอาด ไม่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่บรรยากาศแม้เพียงนิด
พลังงานที่ใช้ในนาเกลือนั้นมาจากดวงอาทิตย์ เริ่มจากแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น แล้วความร้อนจากดวงอาทิตย์ก็ทำให้น้ำทะเลระเหยหายเหลือไว้แต่เกลือ แล้วก็ตั้งกังหันใช้พลังงานลมช่วยวิดน้ำเข้านาเกลือ การทำเกลือจึงเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมมาตั้งแต่อดีตกาลนานโพ้น
“พลังงานหลักจริงๆ ของโลกคือดวงอาทิตย์ ส่วนพลังงานน้ำมันกับไฟฟ้าคือพลังงานทดแทน แต่เรากลับไปบอกว่า พลังงานจากดวงอาทิตย์เป็นพลังงานทดแทน แล้วพลังงานหลักคือน้ำมันกับไฟฟ้า มันตลกไหม” อาจารย์ยงยุทธหันมาถามพวกเรา
“โลกไม่เคยโกหกเราหรอก มีแต่เราที่โกหกโลก”

2.
เมื่อตอนที่โลกถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ๆ อากาศในตอนนั้นมีส่วนผสมของคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ 98 เปอร์เซ็นต์ และไม่มีออกซิเจนเลย แต่ตอนนี้ คาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศเหลือเพียง 0.03 เปอร์เซ็นต์ ส่วนออกซิเจนเพิ่มเป็น 21 เปอร์เซ็นต์ คำถามคือ คาร์บอนไดออกไซด์มันหายไปไหน?
เมื่อโลกเย็นตัวลง จนเกิดน้ำ ทุกอย่างในโลกก็เปลี่ยนไป น้ำทำให้แร่ธาตุและสารประกอบต่างๆ ไหลมารวมกันจนเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวแล้วพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ เมื่อเกิดต้นไม้ต้นแรกในโลก มันก็หายใจเอาคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป แล้วเอาพลังงานแสงที่ได้รับจากดวงอาทิตย์ไประเบิดโมเลกุลของน้ำในลำต้น ปล่อยเป็นออกซิเจนออกมา ส่วนไฮโดรเจนก็เอาไปใช้เกี่ยวคาร์บอนเพื่อเก็บพลังงานไว้ในรูปของน้ำตาล การปล่อยออกซิเจนออกมาก็ช่วยให้สามารถสันดาปน้ำตาลให้คืนพลังงานคาร์บอนกลับมาได้ และเมื่อพืชรับพลังงานความร้อนและพลังงานแสงจากดวงอาทิตย์มาเก็บไว้ มันก็สามารถคืนรูปให้กลายเป็นพลังงานความร้อนและแสงเมื่อเราเผามัน การทำงานของพืชจึงเป็นเทคโนโลยีที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่โลกนี้เคยมีมา
เมื่อพืชดูดคาร์บอนไดออกไซด์เข้ามาแล้วปล่อยออกซิเจนกลับไปนานๆ เข้าก็ทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศลดปริมาณลง และออกซิเจนเพิ่มปริมาณมากขึ้น คาร์บอนที่หายไปจากบรรยากาศนั้นถูกเก็บไว้ในพืช เมื่อสัตว์มากินพืช คาร์บอนก็ถูกถ่ายโอนไปอยู่ในร่างกายสัตว์ และเมื่อทั้งพืชและสัตว์ล้มตายลง ทับถมกันอยู่ใต้โลกเป็นเวลานาน คาร์บอนเหล่านั้นก็เปลี่ยนรูปเป็นถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ
เมื่อวันหนึ่งที่มนุษย์รู้จักการขุดเชื้อเพลิงฟอสซิลจากใต้โลกเหล่านี้ขึ้นมาใช้ ก็เท่ากับว่า เราได้เอาคาร์บอนที่ต้นไม้ดูดจากบรรยากาศมาปล่อยคืนสู่บรรยากาศนั่นเอง
คาร์บอนไดออกไซด์เป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจก และเป็นตัวการสำคัญที่สุดที่กักเก็บความร้อนภายในโลกเอาไว้ไม่ให้ระบายออก โลกเราจึงเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ

3.
“ร้อนไหม” อาจารย์ยงยุทธถามพวกเราในระหว่างที่นั่งพักในศาลาบนเขายี่สารตอนบ่ายต้นๆ
“ไม่ร้อน” ใครบางคนตอบ
“ทำไมถึงไม่ร้อน” อาจารย์ยงยุทธหันมาถาม ก่อนจะเฉลยว่า “ดวงอาทิตย์ทำให้เราไม่ร้อน พลังงานส่วนหนึ่งของดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมาเมื่อกระทบพื้น มันก็เปลี่ยนเป็นความร้อน ดินกับน้ำมันมีความจุความร้อนไม่เท่ากัน ดินมันจะร้อนก่อน อากาศเหนือดินที่ร้อนเลยยกตัวขึ้น ส่วนอากาศเหนือน้ำที่เย็นกว่าก็ไหลเข้ามาแทนที่ เราเรียกว่าอากาศที่ไหลนี้ว่า กระแสลม (wind) ส่วนอากาศร้อนที่ยกตัวขึ้นเราเรียกว่า กระแสอากาศ (current) ที่ไหนก็ตามที่ร้อนจัด ความเร็วของ current จะแรง กระแสลมที่มาตามพื้นก็จะแรงตาม เพราะฉะนั้นเมื่ออุณหภูมิของอากาศสูงขึ้น เลยทำให้เกิดวาตภัยบ่อย และรุนแรงขึ้น”
เมื่อโลกร้อนขึ้นก็เผาน้ำในแหล่งน้ำต่างๆ ให้ระเหยมากขึ้น ทำให้ฝนตกมากขึ้น แต่ในพื้นที่หลังเขาที่ฝนตกน้อยก็จะแล้งขึ้น “สิ่งที่สำคัญของภาวะโลกร้อนคือ การเปลี่ยนแปลงของกระแสอากาศ พอกระแสอากาศเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตในโลกทั้งหมดก็เปลี่ยน เพราะถ้าอากาศและฤดูกาลมันสม่ำเสมอ ผลหมากรากไม้ก็ออกดอกออกผลตามฤดูกาล สร้างอาหารตามฤดูกาล แต่พอมันไม่เป็นไปตามฤดูกาล ผลผลิตทางอาหารก็ปั่นป่วนทั้งโลก ผลผลิตข้าวในเมืองไทยก็ลดลง เมื่อขาดอาหาร มนุษย์ก็ต้องลุกขึ้นมาแย่งชิงกัน ฆ่าฟันกันมากขึ้น”

4.
“เราชอบความสะดวกสบาย พลังงานไฟฟ้ามันสบายตรงไหน ตรงที่มันอยู่ในอำนาจของมนุษย์ อยากให้มีก็กด มันก็มี อยากให้หยุด มันก็หยุด เราชอบทำตัวอหังการ์ ชอบควบคุมทุกอย่างให้เป็นไปอย่างที่ฉันต้องการ แสงอาทิตย์คือพลังงานหลัก ส่วนไฟฟ้าคือพลังงานที่เลวที่สุดในโลก” อาจารย์ยงยุทธเว้นจังหวะให้หยุดคิด
“กว่าจะมาเป็นไฟฟ้า ดวงอาทิตย์ต้องส่งพลังงานมาที่โลก แล้วก็ถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานน้ำ พลังงานลม พลังงานความร้อน เหลือแค่ 0.2 เปอร์เซ็นต์ที่ถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานชีวภาพเก็บไว้ในพืช เราต้องรอให้ 0.2 เปอร์เซ็นต์นี้จมดินกลายเป็นถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติก่อนแล้วค่อยขุดมาใช้ พลังงาน lost ไปแล้วเท่าไหร่
“พอขุดพลังงานพวกนี้ขึ้นมาใช้ ก็เอามาเผาให้กลายเป็นความร้อนอีกครั้ง แต่ไอ้ความร้อนที่เรามีดันไม่ใช้ เพราะเราอยากได้ความร้อนที่ควบคุมได้ พลังงานความร้อนที่เผาได้ จะเอาไปใช้เลยก็ไม่ได้ เอาไปต้มน้ำกว่าจะเดือด กว่าจะกลายเป็นไอน้ำวิ่งไปตามท่อ lost ไปตลอดทาง เมื่อถึงปลายทางปะทะกับใบพัดก็ lost ออกไปเรื่อยๆ กว่าใบพัดจะหมุนปั่นออกมาเป็นกระแสไฟฟ้า แล้วก็ต้องยกให้เป็นกระแสไฟแรงสูง จะได้มีแรงดันส่งไปตามสายได้ ซึ่งก็ lost ไปตลอดทางอีกมหาศาล จากไฟฟ้าแรงดันสูงพอมาถึงในเมือง ก็ต้องผ่านสถานีไฟฟ้าย่อยเพื่อลดให้กลายเป็นไฟฟ้าแรงดันต่ำ ส่งมาถึงหน้าบ้านก็ยังใช้ไม่ได้ ต้องผ่านหม้อแปลงเปลี่ยนให้เป็นไฟฟ้ากระแสสลับ วิ่งตามสายเข้ามาในบ้าน ผ่านสวิตช์ไฟไปติดหลอดไฟ เกิดเป็นพลังงานความร้อนเพื่อเผาหลอดให้เรืองแสงขึ้นมา เราถึงได้พลังงานแสง เห็นไหมว่ามัน lost ไปเท่าไหร่ ในการกดสวิตช์ไฟหนึ่งแก๊ก เพื่อให้ได้แสงสว่าง”
อาจารย์ยงยุทธชี้มือให้ดูนอกศาลา นั่นคือแสงสว่างที่เราได้มาฟรีๆ จากดวงอาทิตย์ พร้อมใช้งานได้ทันที
“ในวิถีไทยของเรา เราใช้พลังงานน้ำ พลังงานกล เสื้อผ้าเราก็ตากลมตากแดด เราไม่ต้องพึ่งพาพลังงานไฟฟ้าเลย เรามีแหล่งพลังงานเยอะมาก แต่เราบอกว่ามันไม่ทันสมัย เฮาต้องพัฒนา วิธีการของเฮาก็ทำอย่างเนี้ย วิธีการสู้กับโลกร้อนที่ดีที่สุดคือ ปรับตัวเองให้สอดคล้องกับธรรมชาติ ใช้ทุกอย่างที่ธรรมชาติให้มาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด”

5.
“ถ้าโลกนี้ไม่มีคนจะเป็นยังไง”
อาจารย์ยงยุทธโยนอีกคำถามให้พวกเรา
“ป่าจะเต็มโลกเลย” อาจารย์เฉลย “เมื่อป่าเต็มโลก สัตว์ป่าก็เต็มโลก โลกจะมีความมั่นคงมากขึ้น เพราะต้นไม้คือพลังงานแปรรูป แหล่งอาหาร แล้วต้นไม้ก็มีความหลากหลาย สัตว์ที่มากินก็มีความหลากหลาย ระบบนิเวศก็จะมีเยอะขึ้นเป็นล้านระบบ เมื่อล่มไประบบนึง ระบบอื่นก็ยังหมุนได้ตามปกติ โลกจึงมั่นคงมาก
“แต่พอมนุษย์เกิดมา มนุษย์คิดว่าเขาเป็นเจ้าของโลก ไปอยู่ที่ไหนก็ห้ามชีวิตอื่นเข้ามายุ่งเกี่ยว เอาปูน เอายางมะตอยเททับ ไม่ให้ชีวิตอื่นอยู่นอกจากตัวเอง เราใช้ที่นอนแค่เตียงเดียว ถ้าต้นไม้จะขึ้น ใบไม้จะร่วงก็ควรปล่อยเขา จุลชีพหรืออะไรก็อยู่ของเขาไป เพราะมันเป็นของโลก ไม่ใช่ของเรา เราก็อยู่เท่าที่จำเป็นต้องอยู่ ไม่ใช่ไปจำกัดสิทธิ์ของคนอื่นเขาหมด แล้วก็ไปรุกรานธรรมชาติ”

6.
“เราจะสู้โลกร้อนด้วยธรรมะได้ยังไงครับ” ใครบางคนถามขึ้นมาต่อหน้าพระพุทธบาทจำลอง
“การสู้โลกร้อนด้วยธรรมะก็คือ การทำบุญด้วยการไม่ทำ” อาจารย์ยงยุทธตอบ “ที่เราทำบุญน่ะ เราทำด้วยสิ่งที่เหลือจากตัวเรา ถ้าเราไม่เทคจนเหลือ คนอีกหลายคนก็จะไม่เดือดร้อน”
การไม่ทำบุญ อาจจะได้บุญมากกว่าการที่เรามุ่งแสวงหาผลประโยชน์จนคนอื่นเดือดร้อน แล้วเอาเพียงส่วนเล็กๆ ของผลประโยชน์ที่ได้นั้นมาทำบุญ
อาจารย์ยงยุทธท่านมองแบบนั้น

7.
“พัฒนา แปลว่าอะไร แปลว่าทันสมัยหรือเปล่า” อาจารย์ยงยุทธชวนทุกคนคิด
“ไม่ใช่ พัฒนาแปลว่า พึ่งตนเอง มันคือ self-survive ไม่ใช่ modernize เพราะ modernize คือการทำให้เหมือนคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเรา เราต้องเปลี่ยนการใช้ชีวิต นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เมืองไทยร้อน เมืองไทยควรจะเย็นสบาย เต็มไปด้วยแม่น้ำลำคลอง เราก็ถมหมด แล้วหันมาใช้เทคโนโลยี รถยนต์ อะไรต่ออะไร
“การพึ่งตัวเอง เราต้องทบทวนว่าชีวิตเราในวันนี้ อะไรบ้างที่เราพึ่งตัวเองไม่ได้ ที่บ้านมีตุ่มน้ำไหม ไม่มี มีแต่น้ำจากฝักบัว ถ้าน้ำประปาหยุดไหลล่ะ เราจะทำยังไง ที่บ้านมีแสงสว่างให้ใช้โดยที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าไหม ถ้าไฟฟ้าดับทำยังไง ครัวเรามีเตาถ่านไหม ถ้าแก๊สหมดทำยังไง
“เรามีขาไว้เดิน เราใช้มันบ้างไหม พอไม่ใช้มันก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ แล้วเราก็จะพึ่งตัวเองไม่ได้”
อาจารย์ยงยุทธบอกว่า ประเทศไทยของเราเป็นชาติเดียวในโลกที่มีพัฒนาการสูงที่สุด เพราะในระดับครัวเรือนเราสามารถพึ่งตัวเองได้ทุกอย่าง ไม่อะไรต้องซื้อหา พาหนะ เรือนแพ ก็ทำเอง เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ก็คิดเองได้ ทุกคนล้วนมีความรู้ทางการแพทย์
“แต่เพราะเราอยากสร้างความทันสมัย เราเลยทำลายศักยภาพตัวเองหมด แล้วก็หันไปพึ่งทุกอย่าง”
แล้วทางรอดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คืออะไร?
“เราต้องอยู่ให้ได้เหมือนแมลงสาบ มันอยู่มาก่อนไดโนเสาร์ แต่มันก็ยังอยู่มาได้ถึงวันนี้ เพราะมันทำตัวเองให้ไม่มีข้อจำกัด ยืดหยุ่นตลอด ในน้ำก็อยู่ได้ บนดินก็อยู่ได้ บนต้นไม้ก็อยู่ได้ อะไรก็กินได้หมด มันไม่เดือดร้อนว่าโลกจะเป็นยังไง เพราะมันพึ่งตัวเองมาตลอด ถ้าเราพยายามปรับชีวิตของเราให้ยืนหยัดด้วยขาของเรา ความคิดของเรา ด้วยมือของเรา ไม่ว่าโลกจะเป็นยังไง เราจะไม่เดือดร้อน เพราะเราจะปรับตัวตามโลกได้ทัน”

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เรากำลังโกหกโลกกันอยู่รึเปล่า??

อุอุ