Welcome to my little worlD

\(~o~) LooK ArounD & EnjoY (^_^)/

วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2551

เมษา...น้ำตาตก

เที่ยวเพลิน

เงินหมด

ผ่าตา

ผ่าฟันคุด
และ ...

ทำมัยถึงต้องเป็นเรา T_T
ขออนุญาต ลงรูปนู๋ ผิงผิง นะจ๊ะ น้องน้ำ

วันพุธที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2551

ไป...ตะรุเตา...มาแว้วววววว 凄い

กลับมาแว้วววววว ดำมาเลย อิอิ
ทริป เมษาฮาเฮของเรา ไปลัลลาทะเลใต้ ฝั่งอันดามัน ที่ ตะรุเตา จ.สตูล
ทริปนี้วางแผนกันมานานมาก....ตั้งแต่เดือนกุมภาโน่นแน่ะ หุหุ
วันนี้ก็เลยจะมาเล่าสู่กันฟัง ว่าไปเจอะเจออะไรมาบ้าง
(หวังว่าคงไม่มีใครหมั่นไส้ จนอยากไล่เตะกันนะ อิอิ)
ออกสตาร์ทกัน เย็นวันที่ 3 เมษา นัดบริษัททัวร์ไว้ที่ KFC ชั้น 3 สายใต้ใหม่กว่าตอน 6โมง ก็ออกเดินทางจากศูนย์ตั้งแต่ 4โมง ดันแจ๊คพอท เจอรถติดบนถนนวงแหวน พี่แท็กซี่บอกว่ามีรถบรรทุกชนกัน พอเปิด จ.ส.100 ฟัง คุณตำรวจบอกว่า วิ่งได้ตั้ง 3 ช่องทาง แต่ที่ติดเพราะชะลอดูกัน ป้าด!!! เราเลยติดแหง่กอยู่บนถนนตั้งแต่ 4โมง จน 5โมง40 ท่านหัวหน้าคณะก็เป็นห่วงอย่างมาก (กลัวตกรถ) โทรถามไถ่ตลอดเวลา พอเลยช่วงที่รถชนก็วิ่งฉิวเลย เฮ้อ โล่ง ไปถึงก็พอดี 6โมง อดหาข้าวกินก่อนเลย หิวง่ะ เลยต้องไปหาของกินใน 7-11 เสร็จแล้วคนจากบริษัททัวร์ก็แจกตั๋ว แล้วก็ไปขึ้นรถ ของ ทรัพย์ไพศาล รถออกประมาณ 6 โมงครึ่ง คุณเด็กรถก็แจก ขนม+น้ำ เสร็จแล้วก็ปิดไฟ เราเลยต้องนั่งมืดๆ ทีวีก็ไม่มีดู พอ 4ทุ่ม รถก็จอดแวะกินข้าวที่ปราณบุรี 20นาที เข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อย พร้อมนอนจ้า พอเช้าก็เริ่มตื่นมาดูถนนหนทาง จริงๆ ตามกำหนดการต้องถึง อ.ละงูตั้งแต่ 7โมง แต่กว่าจะถึงจริงๆ ก็โน่นเลย 8โมง โอ นั่งกันเมื่อยตูดเลย หุหุ พอลงจากรถก็เจอกับคุณไกด์จากบริษัททัวร์ Adang Sea Adventure Tour มารับ แล้วก็พานั่งสองแถวไปที่ท่าเทียบเรือปากบารา เอาของผากไว้ที่บริษัททัวร์ แล้วก็หาข้าวเช้ากินกัน ตบท้ายด้วยกาแฟสด เฮ้อ จบไป 1 อิ่ม อิอิ แล้วก็พากันมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บริษัททัวร์ แต่ห้องน้ำเค้ามีน้อย แค่ห้องเดียว ต้องสปีดสุดชีพ ห้ามอืด คนต่อคิวเยอะ พอ 10โมงครึ่ง เค้าก็พาไปลงเรือเมล์ เตรียมตัวทัวร์กันเลย
นั่งเรือออกมาได้ประมาณ ชั่วโมงกว่าเกือบ 2 ชั่วโมง ก็ถึงเกาะตะรุเตา เรือเมล์ไปจอดที่ ท่าเทียบเรือตะรุเตา อ่าวพันเตมะละกา พอชาวคณะทัวร์ลงกันครบก็กินข้าวกันที่บริเวณท่าเทียบเรือ กับข้าวมื้อนี้ก็มี ผัดเปรี้ยวหวาน, ผัดผักรวม, แกงเหลือง, น้ำพริกกะปิ แซ่บมาก ปากเจ่อเลย ผลไม้ก็เป็นโตแมง...แตงโม โฮะโฮะโฮะ (จะหัวเราะทำไมเนี่ย)

พออิ่มก็เริ่มออกเดินถ่ายรูปกัน กดกันไม่กลัวชัตเตอร์พังกันเลย ขอเม้าท์หน่อย ลูกทัวร์นี้นะ แต่ละคนกล้องเค้าโปรฯ กันทั้งนั้นเลย อิจฉา แหมเบี้ยน้อยแบบเรา ก็ก้มหน้าก้มตาถ่ายด้วยกล้องน้อยแสนรักของเราต่อไป อิอิ

พอสักพัก คุณพี่ไกด์ก็มาพาไปไหว้ศาลเจ้าพ่อตะรุเตา เพื่อเป็นสิริมงคล แล้วก็พาเดินไปที่ส่วนแสดงภาพประวัติศาสตร์+ข้าวของเครื่องใช้ของนักโทษ แล้วก็อธิบายคร่าวๆ ถึงแต่ละเกาะที่อยู่ในเขตอุทยานฯ ว่ามีความเป็นมายังไง ลักษณะเด่นยังไง ตอนแรกก็ว่าจำได้อ่ะนะ ฟังไปฟังมาก็ ออกหูขวาไปหมดเลย หุหุ (พอดีพี่ไกด์ยืนอยู่ทางซ้าย 55) เลยต้องมาอาศัยข้อมูลจากแผ่นพับที่หยิบมาจากที่ทำการอุทยานฯ มาเป็นวัตถุดิบในการเล่าครั้งนี้ อิอิ ขอบคุณค้าบ

พออธิบายกันเสร็จ คุณพี่ไกด์ก็บอกว่าจะพาเดินขึ้นไปที่ผาโต๊ะบู เพื่อชมวิว อ่าวพันเตมะละกา เอาล่ะสิ ขึ้นเขาอีกแว้วว คนมีประวัติอย่างเรา แอบหวาดเล็กน้อย แต่มาถึงนี่ ไม่ขึ้นก็กระไร เอาฟะ สู้โว้ย! และแล้วกว่าจะหอบสังขารขึ้นไปถึง ก็โดนแซงแล้วแซงอีก จะหยุดพักก็เกรงใจคุณน้องไกด์ ที่อุตส่าห์มาเดินปิดขบวนให้ เลยได้แต่ตั้งหน้าเดินๆๆ จนแทบจะเอาปอดออกมารับอากาศด้านนอกเลย หายใจไม่ทัน 55 ขึ้นไปถึงศาลาชมวิว กลายเป็นหมาหอบแดดไปเลย พอพักเหนื่อยเสร็จก็ถ่ายๆๆๆๆ (อ๊ะๆ มะช่ายอย่างที่คิดนะ) ถ่ายรูป เก็บวิวกันใหญ่ อิอิ เสร็จแล้วก็รีบลงก่อนเลย เพราะเดินช้า รีบลงจะได้พักนานๆ

ลงมาถึงก็เดินดูร้านขายของที่ระลึกของอุทยานฯ แต่ไม่ได้ซื้ออะไรเลย แล้วก็มานั่งพักที่ท่าเทียบเรือ กินน้ำเย็นๆ เฮ้อ สบาย ลมพัดเย็นมากๆ พอเริ่มหายเหนื่อยก็มีน้องเจ้าถิ่นคนนึงเข้ามาคุยด้วย น้องเค้าเป็นลูกหรือหลานของเจ้าหน้าที่ในอุทยานนี่แหละ คุยเก่งดี บอกว่าปิดเทอมมาอยู่ที่เกาะตลอดเลย คุยกันไปมาก็เลยชวนกันไปถ่ายป้าย เนื่องจากคุณหัวหน้าคณะยังไม่ได้ป้าย เลยไปถ่ายกัน พอกลับมานั่งพักที่ท่าเทียบเรือ สายตาของเราก็เหลือบไปเห็นอะไรแว๊บๆ พอดีเป็นช่วงถอดแว่น แว่บแรกที่คิดถึง คือ โห ไมน้องจ๊วดมาไกลขนาดนี้นะ นึกไปนึกมา น้องจ๊วดจะมาได้ไง นี่มันทะเลนะ แหะแหะ เลยรีบใส่แว่นดู ก็เจอน้อง ไม่แน่ใจว่า นากทะเลป่าวนะ ขอเชิญผู้รู้มาบอกกล่าวอีกที พอถ่ายรูปได้ 1 ที น้องเค้าก็หายไปเลย (ในรูปที่วงแดงๆ ไว้นั่นแหละ)

และแล้วก็ถึงเวลาขึ้นเรือออกเดินทางไปที่เกาะไข่ เวลาก็ประมาณ บ่าย 3 น้ำลงอย่างแรง ต้องนั่งเรือหางออกไป ขึ้นเรือเมล์ด้านนอกฝั่ง เลยชักภาพ ประภาคารขาวๆ มาฝากกัน
และแล้วตอน 4โมงครึ่งพอดิบพอดี ก็ถึงไฮไลท์ของเรา เกาะไข่ ข้อมูลตามแผ่นพับที่ได้มา บอกว่า อ่ะแฮ่ม "เป็นเกาะเล็กๆ ที่มีหาดทรายขาวละเอียด งดงาม ห่างจากเกาะตะรุเตา 25 กม. อยู่ระหว่างเกาะตะรุเตาและเกาะอาดัง เกาะไข่มีสัญลักษณ์ทางการท่องเที่ยวของจังหวัดสตูล คือ ซุ้มประตูหินธรรมชาติ ที่ทอดโค้งจากผืนทรายจรดน้ำ นอกจากนี้ยังเป็นที่วางไข่ของเต่าทะเลอีกด้วย" และที่เสริมจากคุณพี่ไกด์ก็คือ ถ้าได้เดินลอดซุ้ม ผู้หญิงก้าวขาซ้ายก่อน ส่วนผู้ชายขาขวาก่อน จะสมหวังเรื่องความรัก แต่แกบอกว่า แกลอดมาหลายปีแล้ว ยังไม่ได้เลย ฮาซะ

ตอนที่เรือกำลังจะถึงเกาะไข่เนี่ย คนเพียบเลยนะที่หาดนี่มีแต่คน พอเรือเราไปถึงเค้าก็ขึ้นเรือออกกันพอดี เราเลยรีบเล็งมุมที่ไม่ค่อยเห็นคน แต่ก็แพ้ คู่รักคู่นึง ไวมากมาก เลยต้องมีพี่เค้า 2 คนติดมาหลายรูปเลย เดินกระหน่ำชัตเตอร์กันได้สักประมาณ 20 นาที เรือก็เปิดหวูดเรียกให้ออกเดินทางต่อได้แล้วจ้า หวูดดดดดด (เสียงมันเป็นงี้ป่าวหว่า)

พอขึ้นเรือจะไปเกาะหลีเป๊ะเพื่อเข้าที่พัก เราก็นั่งหัวโยกกันต่อไปในเรือเมล์ ระหว่างทางก็ถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อย

จน 5โมง 40 ก็เดินทางมาถึงหน้าเกาะหลีเป๊ะ ที่พักของเราในทริปนี้ คุณพี่ไกด์ก็จัดแจง แบ่งคน+สัมภาระลงเรือหาง เพื่อไปส่งที่พักตามเส้นทางเดียวกัน ของเรือลำเรานั่งไปกัน 8 คน กรุ๊ปเรา 5 คนพักที่ เกาะหลีเป๊ะ ส่วนพี่ๆ อีก 3 คน เค้ากางเต๊นท์นอนที่เกาะอาดัง ระหว่างทางพระอาทิตย์กำลังจะตก สวยมากๆๆๆๆๆ แชะไปหลายรูปมาก ตามออร์เดอร์จากคุณหัวหน้าคณะ คริคริ

และแล้วก็มาถึงที่พักในคืนแรกของเรา โอ๊ว แม่เจ้า! งามมากๆ อ้อ ลืมบอกชื่อไป ที่พักของเราคืนนี้ ชื่อว่า "Mountain Resort" เป็นบ้านที่อยู่บนเขา ต้องปีนกระไดขึ้นไป เห็นแล้ว ว้าวเลย วิวดีมากๆ ถ่ายรูปกันลืมเหนื่อยไปเลย อ่อ ลืมบอกไปว่าที่พักของเราอยู่ที่หาดชาวเล ซึ่งผู้คนจะบางเบากว่าอีกหาดหนึ่ง คือหาดพัทยา หรือ หาด ปัดตาหยา คุณไกด์เล่าให้ฟังว่า เป็นภาษายาวี แต่จำไม่ได้ว่าแปลว่าอะไร (ปลาทองอีกแล้ว) เรียกไปเรียกมาก็เพี้ยนจนกลายเป็นพัทยา บางคนก็บอกว่าเพราะฝรั่งเยอะเลยเรียกว่าพัทยา ไม่รู้อันไหนจริงกันแน่ พอเข้าที่พัก เค้าก็นัดเวลาว่า ทุ่มนึงกินข้าวเย็น ก็เลยไปเก็บของกัน แล้วก็ออกมาชักภาพอีกรอบ

แล้วก็ถึงเวลา dinner มื้อนี้มี ปลา 3รส (อ๊ะป่าวหว่า), ต้มยำทะเล, ผัดผักรวม, หลน (อะไรสักอย่าง) แล้วก็อะไรอีกอย่างนี่แหละ แหะแหะ ขออภัย พอดีเป็นปลาทอง เลยลืมไปหมดแล้ว เหอเหอ แล้วก็ยังไม่หนำ เนื่องจากก่อนมาได้อ่านหนังสือ "สุขใจที่ได้เที่ยว" ของคุณชาติ ภิรมย์กุล ว่าไปเที่ยวตะรุเตาต้องไปกินโรตีให้ได้ เลยไปสร้างกระแสกับท่านหัวหน้าคณะ สำเร็จ! เลยถามคุณไกด์ที่ดูแลกลุ่มเรา เค้าบอกว่าต้องเดินไป อยู่ทางไปหาดพัทยา ระยะทางประมาณ 1.4 กม. เค้าก็ใจดีบอกว่ารอเค้ากินข้าวก่อนนะ แล้วจะพาไป ก็เดินกันสักประมาณ 45 นาที มั้ง ก็ถึงร้านโรตี สั่งโรตีมากินกัน สมใจอยาก กินเสร็จก็เดินกลับมา อาบน้ำ นอนจ้า

เช้าตื่นมาพร้อมลมเย็นๆ สบายมากๆ ตื่น 6 โมงครึ่งอาบน้ำแต่งตัว ออกมาถ่ายรูปกันต่อ แหม ดีนะที่เป็นกล้องดิจิตอล ถ้าเป็นกล้องฟิล์มนี่เปลืองตายเลย วิวตอนเช้าเนี่ย งามมากกกกก ถ่ายรูปยังไงก็ไม่เหมือนเห็นด้วยตา แหม น้ำมันแบ่งสีกันฟ้าซะขนาดอยากถ่ายแบบงามๆ มาให้ดูเหมือนกัน แต่มือไม่ถึง ยังต้องฝึกกันอีกนาน เฮ้อ

มื้อเช้าเป็น ขนมปังไข่ดาว ข้าวต้ม กาแฟ ด้วยความอยากกินกาแฟสด (เค้าเตรียสเนสไว้ให้) คุณหัวหน้าทัวร์ก็เดินไปจะสั่งกับพนักงาน ไม่รู้เค้าเข้าใจว่าเราขอเปลี่ยนกาแฟจากเนส เป็นกาแฟสดมั้ง เลยบอกกับเราว่าเครื่องเสีย แหมๆ แต่เราก็เห็นคาตาเลยนะว่าเค้าปั่นเม็ดกาแฟกันอยู่เลย ก็โอเค เค้าคงไม่อยากให้เราเสียสตางค์ คิดในแง่ดี อิอิ เลยถ่ายรูปบ้านที่พักมาให้ดู หน้าตาคล้ายกระท่อมน้อยปลายนา เป็นห้องพัดลม จะอยู่โซนหลังๆ จะมองไม่เห็นทะเล ถ้าโซนหน้าจะเป็นแอร์ หรู ไฮ ติดวิวทะเล คืนละ 2000 อัพ งบน้อยๆ อย่างเรา นอนพัดลมไปก่อนละกันเนอะ

แล้วก็ถึงเวลาโบกมือ บ๋ายบายกับที่พักวิวดี เพราะเราได้นอนที่นี่แค่คืนเดียว ทีแรกบ.ทัวร์บอกว่าเราต้องนอนเต้นท์คืนที่ 2 แต่เราก็พยายามต่อรองให้หาบ้านให้ เพราะไม่สะดวกเรื่องห้องน้ำ เค้าก็ดี หาให้จนได้ที่ "Taratao Cabana" เราเลยต้องหอบข้าวของออกมาจาก Moutain ตอน 8โมงครึ่ง น้องภู ไกด์ที่ดูแลกรุ๊ปเราก็พาไปเช็คอินที่ Taratao Cabana แล้วก็ฝากกระเป๋าไว้ที่เคาน์เตอร์ เสร็จแล้วก็ออกเดินทางไปจุดดำน้ำจุดแรกกันเลย

จุดดำน้ำจุดแรกในวันนี้ก็คือ ด้านหลังเกาะหินงาม ก่อนลงไปดำ คุณน้องไกด์ก็เตือนว่าระวัง "แตนทะเล" ถ้าโดนมันจะแสบ คัน แต่ห้ามเกา!! ให้ลูบหรือกดไว้ แล้วรีบเอาน้ำส้มสายชูราด ลงไปสักพัก ไม่รู้จิตตกไปเองรึป่าว รู้สึกคันยิบๆๆๆ เหอเหอ ครานี้เจอปลา+สัตว์ทะเลเพียบ มีที่เจอเยอะๆ เลยก็เป็นพวกสลิดหิน นกแก้ว ผีเสื้อ การ์ตูน โอย บรรยายไม่ถูก เพราะจำชื่อไม่ได้ (ฮา อย่าบอกเค้านะว่าเรียนจบอะไรมา ขายขี้หน้า)
หลังจากดำกันไปสักพัก ก็ออกเดินทางไปทางด้านหน้า ไปดู "หินงาม" ที่หาดหินงามกัน คุณน้องภูไกด์ของเราก็บอกอีกว่า ถ้าเรียงหินได้ซ้อนกัน 13 ก้อน จะดีเรื่องการงาน 12 ก้อน ด้านความรัก พอไปถึงโห ไหนมันหินเนี่ย มีแต่หัวดำๆ ยุ่บยั่บ คนบานตะเกียง แทบจะหาที่แทรกเข้าไปไม่ได้ เลยไม่ได้เรียงหินกัน (จิงๆแล้วไม่มีฝีมือ อิอิ) เลยไปแอบขโมยถ่ายของคนอื่นเค้ามาแทน อิอิ

เค้าบอกว่าเวลาเอาน้ำสาดหินแล้วมันจะเป็นประกาย พยายามมาก แต่ถ่ายแล้วไม่ปิ๊งๆๆ เหมือนตาเห็นเลยเลิกถ่ายเลย 55 อ้อ แล้วก็มัวแต่หลบคน ลืมไปถ่ายป้ายคำสาบเจ้าพ่อตะรุเตาเลย เศร้า

พอสมควรแก่เวลาก็ออกเดินทางต่อ คราวนี้เรือลำเราแยกตัวออกจากอีก 2 ลำที่เป็นทัวร์เดียวกัน มุ่งหน้าไปที่เกาะยางน้องภูบอกว่า จะพาไปดู "ปะการังผักกาด" อยู่ถัดจากเกาะหินงามไปทางเหนือ น้ำใสมากกกกกกก ปลาสลิดหินเยอะสุดๆ แอบเป็นเด็กดี เก็บถุงพลาสติกที่ลอยมากลับมาที่เรือด้วย เย้ๆ

เสร็จแล้วก็มุ่งหน้าสู่ หาดทรายขาว เกาะราวี เพื่อกินอาหารเที่ยงกัน วันนี้เป็นข้าวกล่องทำมาจาก "วารินทร์ รีสอร์ท" เราเลือกเข้าห้องน้ำก่อนเป็นอย่างแรก อั้นมานาน จะเพิ่มยูเรียในน้ำก็ทำไม่ลง เก็บมาตั้งกะเกาะหินงาม ได้ปลดปล่อยนี่มันโล้งโล่ง อิอิ

หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จก็ออกเดิน ถ่ายรูป ที่หาดนี้ มีมุมยอดฮิตที่ต้องถ่าย คือชิงช้า มีหลายอันมาก แต่อันฮิตๆ นี่เข้าไม่ถึงจิงๆ ได้แต่อันนี้มา แล้วก็น้องขอนไม้ โชคดีที่ตอนกำลังไปถ่าย กรุ๊ปใหญ่ยังไม่ลง พอถ่ายเสร็จไม่รู้คนมาจากไหนกัน เยอะมากๆๆๆๆๆๆๆ ดีนะที่ไหวตัวทันถ่ายรูปเสร็จซะก่อน

ที่หาดทรายขาวนี้มีจุดดำน้ำ ให้เกาะไปตามเชือกมีหมายเลขบอกจุด ว่าจุดนี้จะเห็นอะไรบ้าง ตอนลงไปก็ไม่ได้ดูป้ายก่อน (ป้ายอยู่ตรงหน้าหาด) ก็ยังงงๆ ว่าเลยไรหว่า พอดำเสร็จเดินดูก็ถึงบางอ้อ แหม๋ ฉลาดซะตรู ไม่รู้จักดูก่อน ที่นี่เจอหอยมือเสือหลายขนาดมากกกกก เยอะจริงๆ ปลาก็ตัวโต ช๊อบชอบ

วิวงามๆ ถ่ายเข้าไป แถมยังโก๊ะมาก เอาถ่านใส่ถุงไว้ในกระเป๋ากางเกง แล้วก็ลืมเอาออก ไปดำน้ำเลย ถ่านเจ๊งเลย เศร้า อ้อ มีข่าวเศร้า ทัวร์อื่นที่มาลง เค้ากินข้าวเสร็จแล้วลงไปดำน้ำเลย ปรากฏว่า จุกคับ หายใจไม่ได้ ลอยออกไปนอกฝั่งเลย ต้องพาไปส่งอีกเกาะ (อันนี้ฟังมาจากน้องไกด์อีกที)

พอได้เวลาบ่าย 2ครึ่ง ก็ออกเดินทางจากเกาะราวี ไปดำดูปะการังน้ำตื้น (มาก) ที่ "เกาะอาดัง" ที่นี่น้ำแรงพอสมควร แล้วน่าจะเป็นช่วงน้ำลงด้วย เลยได้ประจันหน้ากับคุณปะการังอย่างใกล้ชิด ใกล้จนน้องไกด์ต้องคอยเรียกให้ว่ายออกมาลึกหน่อย เพราะเดี๋ยวจะไปโดนปะการังเข้า จุดนี้เจอดาวขนนกด้วย ตัวสีน้ำเงิน สวยดี ที่จุดนี้น้ำแรงขนาดที่เราไม่ต้องออกแรงตีขาเลย ปล่อยตัวลอยๆ ไป ลุงคนขับเรือแกปล่อยให้ลงฟากนึง แล้วแกก็บอกว่า ลอยไปเลย เดี๋ยวเอาเรือไปรับอีกฟาก เราก็ลอยตุ๊บป่องๆ ไป ปรากฎว่าดั๊นไปผิดข้าง บันไดอยู่กราบซ้าย ดันลอยไปทางขวา น้องไกด์รีบบอกว่า พี่ครับไปอีกด้านนึงนะ เราก็พยายามจะไป แต่แรงไม่มีมันลอยอยู่กับที่ เลยตะโกนกลับไปว่า มันไม่ไปอ่ะ คุณน้องเลยต้องมาลากไปอีกข้างนึง เหอเหอ ขำดี

หลังจากลอยไปมาประมาณ 20 นาทีได้ (มั้ง) ก็ออกจากเกาะอาดัง ไปดูปะการังเจ็ดสี ที่ ร่องน้ำจาบัง จุดนี้น้ำแรงมากกกกกกก ต้องเกาะเชือกไปดู ลุงคนขับเรือบอกว่า ห้ามปล่อยเชือกเด็ดขาด! เด๋วจะลอยไปช่วยไม่ทัน แล้วเราดันลงเป็นคนสุดท้าย หาเชือกก็ไม่เจออีก คุณพี่คู่รักผู้ชายก็พยายามช่วย (บอกว่านี่ไงเชือก จับสิ ป้าดโธ่ ก็ตรูมองไม่เห็น จะจับได้ยังไงเล่า ช่วยได้มากเจงๆ) พอหาเชือกเจอ ก็ไหลๆ ตามเค้าไป พร้อมๆ กับก้มหน้าก้มตาดู จุดนี้เป็นปะการังอ่อน สีสันสวยงาม แต่ไม่รู้ครบเจ็ดสีป่าว เพราะเห็นแต่โทนชมพู ไล่เฉดไปเลย พอเกาะเชือกดูได้พอประมาณ น้องไกด์ก็บอกให้ไต่กลับได้ ขากลับเจอลูกถีบพี่คู่รักอีก กำเจงๆ แล้วก็มีเหตุระทึกขวัญ (ดีนะไม่ใช่เรา แฮ่) มีพี่ผู้หญิงคนนึง เค้าว่ายน้ำไม่เป็น (แฟนเค้าบอก) พอไต่กลับมาเหมือนเค้าจับเชือกไม่ถึงหรือไงเนี่ยแหละ เค้าเลยจะลอยไป ร้องกันทั้งลำเลย ดีนะคุณแฟนเค้าอยู่ข้างหลังกันไว้ได้ คุณน้องไกด์รีบไปพาออกมาเลยเด๋วจมคู่ แย่เลย
หลังจากขึ้นมาพักเหนื่อยบนเรือแล้วก็มุ่งหน้าสู่จุดต่อไป คราวนี้เป็นเกาะเล็กๆ ด้านหน้าเกาะหลีเป๊ะ ช่วงน้ำลงแบบนี้ มีชาวประมงเก็บหอยนางรมกันอยู่บนเกาะด้วย จุดนี้ น้องไกด์บอกว่า จะลงไปดูก่อนว่าพอจะลงไปดำดูได้มั้ย เพราะน้ำลงมาก แกก็ว่ายไปเรื่อย จนกลับมาบอกว่าเดี๋ยวให้เกาะห่วงยางไป ไม่ต้องตีขาช่วยนะ ลอยตัวอย่างเดียว เดี๋ยวน้องเค้าลากไปเอง ก็ลงกันตูมตาม โชคไม่ค่อยดี อยู่ตรงกลางห่วง เดี๋ยวเจอบาจาเดี๋ยวเจอข้อศอก มองไม่ค่อยจะเห็นเท่าไหร่ ที่เจอก็เป็น พวกเม่นทะเล กับปลิงทะเลซะเยอะ เจอตอนปลิงกำลังเดิน+กินอยู่เลย ตัวใหญ่ๆ สีขาวๆ แล้วก็มาถึงจุดสุดท้าย อยู่ตรงข้ามกับเกาะเมื่อกี้ อันนี้ไม่ได้ลง เพราะต้องเกาะห่วงอีก ห่วงอันนิดนึงเกาะกัน 10 คน เลยสละสิทธิ รอบนเรือดีกว่า พี่ๆ เค้าก็กลับมาเล่าว่าเจอหอยเม่นเยอะมาก แต่ปะการังสวย อันนี้ไม่รู้เค้าเตี๊ยมกันมาให้เราอิจฉาเล่นรึป่าว อิอิ เศร้า

และแล้วก็หมดไปอีกหนึ่งวัน ไวมากๆ หมดแรง หน้าดำ เหอเหอ คุณน้องไกด์ก็พาไปเข้าที่พัก "Taratao Cabana" แต่น้ำลงมาก เรือเข้าไปจอดด้านหน้าไม่ได้ เลยต้องเดินไปอีกหน่อย ปรากฏว่าไปถึงคุณไกด์อีกคนเก็บกุญแจไปแล้ว เลยต้องรอพักนึง ให้น้องไกด์ไปตามหากุญแจให้ กว่าจะได้เข้าห้องก็ 5โมงครึ่งได้มั้ง สภาพห้องนี่แบบว่า เหม็นอับอ่ะ อยู่อีกฟากนึง ไม่มีทีวี แถมมีเวลาเปิดปิดไฟด้วย เปิด 6โมงเย็นถึง 7โมงเช้า (ที่ Mountain เปิดตลอด 24ชม.เลย)
แล้วน้องไกด์นัดเวลารับพรุ่งนี้&เวลากินข้าวเย็น เค้าบอกว่าอาหารที่รีสอร์ทนี้ไม่อร่อย เค้าติดต่อร้านอาหารให้แล้ว ชื่อร้าน "FINO" ให้ไปกิน ทุ่มครึ่ง แต่พี่เอ๋หิวมาก ต่อรองน้องเค้าก็พยายามติดต่อให้ บอกว่าทุ่มนึงแทน เราเลยเข้าห้องพัก อาบน้ำสระผม แล้วก็ออกไปหาอะไรรองท้อง อิอิ โรตีร้านเดิมอีกแล้วคับท่าน พอได้เวลาทุ่มนึงเราก็ออกเดินย้อนมาร้านกินข้าว เค้าก็ต้อนรับดี แล้วก็บอกว่ามีแขกอีก 3 คน ให้รอหน่อย เค้านัดที่ร้านทุ่มครึ่ง จ๊าก หิวอ่ะ เริ่มวีนนิดๆ จนเจ้าของร้านเห็นใจ ยกออกมาให้ก่อนชุดนึง อิอิ กับข้าวมีไก่ทอด, ต้มยำทะเล, ผัดผักรวม, แล้วก็แกงไตปลาปลาย่าง (แต่เด็กเสริฟบอกว่า เขียวหวานปลาย่างอ่ะ) กินจนอิ่ม ฝนก็เริ่มลงเม็ด เลยต้องย้ายเข้าข้างในร่ม รอเวลาฝนหยุด เออ ผลไม้ตลอดทริปนี้เป็น โตแมง กับ สับปะรด ทุกมื้อเลยแหละ พอฝนหยุดก็จะกลับที่พัก น้องไกด์ที่มาดูแทน รีบมานัดเวลาข้าวเช้า ให้เดินไปกินที่ "วารินทร์ รีสอร์ท" 7โมงเช้า แล้วตอนแรกน้องเค้าจะให้ขนของมาเลย แต่เราต่อรองว่า กระเป๋าหนัก แล้วน้องภูบอกว่าจะมารับด้วย เราเลยตกลงกันว่ากินข้าวแล้วกลับไปเก็บของ รอเรือมารับอิอิ

และแล้วก็ถึงเช้าวันสุดท้ายของการอยู่เกาะ ตื่นขึ้นมารับอากาศ ลมไม่จัดเท่าที่ Mountain แต่ก็สดชื่น ตื่นมาอาบน้ำ เตรียมตัวไปกินข้าว ไกลเหมือนกันนะ เลยร้านโรตีไปอีกไกลเลย ไปถึง ข้าวเกือบหมดแล้ว ได้กินข้ามต้ม ผัดหมี่ กาแฟ คนแน่นมาก ฝั่งหาดพัทยา สมชื่อจริงๆ หลังจากกินเสร็จ คุณพี่ไกด์ใหญ่ ก็เดินมาบอกว่าเดี๋ยวเค้าจะมีเรือไปรับที่รีสอร์ทนะ แล้วก็เก็บกุญแจมาเลย เค้าจะคืนห้องให้เอง เราก็เลยเดินกลับมา เก็บของ น้องภูมารับพอดี แหม ไวมากๆ นัด 9 โมง 8โมง45 มารับซะแล้ว
เราจะต้องไปขึ้นเรือเมล์ที่หน้าหาดพัทยา เรือก็อ้อมเกาะไปอีกด้านนึง น้ำใสมาก แชะไปเรื่อยๆ จนถึงเรือเมล์ ก็เอาของขึ้นเรือ เตรียมโบกมือ บ๋ายบาย เกาะหลีเป๊ะ กัน เรือติดแอร์ด้วยนะ แต่ว่ายังไงก็ร้อนอยู่ดี แล้วก็รอเวลา 10โมงครึ่งเรือก็ออกจากเกาะหลีเป๊ะ มุ่งหน้าสู่เกาะตะรุเตา รับผู้โดยสาร แล้วก็กลับไปท่าเรือปากบารา ถึงท่า บ่ายโมงครึ่งพอดี เป๊ะมากๆ

พอถึงฝั่งก็หิวมากๆ ไปกินข้าวกันที่ร้านที่กินกาแฟสด สั่งมอคค่ามากิน ชื่นใจ แล้วก็ขึ้นรถ Altis (อภินันทนาการจากเพื่อนพี่เอ๋) ไปหาดใหญ่ แวะตลาดกิมหยง ไม่รู้จะซื้ออะไร เพราะกรุงเทพก็มี (จริงๆขี้เกียจหิ้ว แหะแหะ) แล้วรถก็มาส่งที่สนามบิน อ้อ ลุงคนขับเค้าทำทัวร์ด้วยนะ แกบอกว่า สนใจมาเที่ยวอีกก็ติดต่อแกได้ แหม ครบวงจร แถมเค้าเป็นพ่อของน้องที่ไปกับทัวร์เดียวกันกับเราด้วย โลกกลมจริงๆ พอถึงสนามบินก็จัดการแปลงร่าง เปลี่ยนกางเกง (เน่าๆ) ล้างหน้าล้างตา รอเวลาเช็คอิน กินข้าวเย็น เข้าแถวขึ้นเครื่อง อิอิ เครื่องออก 3 ทุ่ม ถึงสุวรรณภูมิ 4ทุ่มครึ่ง กว่าจะถึงหอห้าทุ่มเกือบเที่ยงคืน โอ ปิดทริปจ้า
งานนี้ เรื่องเยอะรูปแยะไปหน่อย อิอิ ของสวยๆ ใครๆ ก็อยากโชว์
ขอขอบคุณ ท่านหัวหน้าคณะ "พี่จูน" ที่ตั้งทริปนี้ขึ้นมา ลูกทีม แฮปปี้กันถ้วนหน้าจ้า สงสารก็แต่ท่านหัวหน้าต้องรีบกลับก่อน ไปเที่ยวบาหลีต่อ อิอิ

วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2551

..ล่องใต้..

หลังจาก "ขึ้นเหนือ" กันไปแล้ว มาเมษา ร้อนนี้เลยขอไป "ล่องใต้" กันบ้าง
ทริปหนีร้อนไปเจอร้อนครั้งนี้ ก็เป็นทะเลที่สวยยยยย อีกที่หนึ่งของเมืองไทย นั่นก็คือ
"ตะรุเตา" นั่นเอง
ทริปนี้ กำเนิดขึ้นโดย "คุณพี่จูน" ผู้เป็นโต้โผให้เราได้ทำการเที่ยวเมืองไทยไม่ไปไม่รู้มาแล้ว เมื่อคราวขึ้นเหนือ หน้า (เกือบ) หนาวที่ผ่านมา อิอิ
ทริปนี้ 3-6 เมษายน กลับมาแล้วจะมาอัพเดทอีกที
....ไปทะเล.กันดีกว่า....

อุอุ